วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ขอพื้นที่เล็ก ๆ ให้กับละคร #บัลลังก์เมฆ


(ภาพจาก แฟนเพจช่อง one)

(ใครยังไม่ได้ดูแล้วคิดจะย้อนหลังอ่านข้าม ๆ ไปเลยค่ะ สปอยล์เต็ม ๆ)
*คำเตือน เขียนยาวมาก ประมาณสามหน้าครึ่ง(เอสี่ ฟ้อนต์คอร์เดีย14))
**ไม่มีรูปประกอบใด ๆ ทั้งสิ้น ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเป็นสเตตัสในเฟซบุ๊ก แต่เขียนไปเขียนมามันยาวเกิน
***เขียนแบบไม่มีทฤษฎีอะไรทั้งนั้น ความรู้สึกล้วน ๆ เขียนแบบไร้ทิศทาง อยากเขียนอะไรก็เขียนไป
****ไม่ลงพันทิปเพราะจำรหัสผ่านพันทิปไม่ได้ -____-

ออกตัวก่อนว่าไม่เคยดูบัลลัก์เมฆเวอร์ชั่นใดมาก่อนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะไม่มีการเปรียบเทียบเกิดขึ้นตรงนี้ และนี่ก็เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ดูตั้งแต่ตอนแรกยันตอนสุดท้ายแบบสด ๆ เกือบทุกตอน (มีย้อนหลังตอนแรกตอนเดียว แต่ก็ย้อนแบบหลังละครจบแค่ ชม.เดียว)

สามเดือนกับ 25 ตอนสำหรับละครเรื่องนี้ ส่วนตัวคิดว่าเร็วมาก ละครเดินเรื่องเร็ว บทเข้มข้น หักมุม บีบคั้นสุด ๆ

ละครเรื่องนี้พยายามจะเน้นย้ำคนดูตลอดว่า "รักเกินรักมักทำลาย" แต่พอมาดูรายละเอียดกันจริง ๆ มันก็มีทั้งใช่ และไม่ใช่

นายแม่คมขวัญ... รักลูกมาก ดูเหมือนจะเลี้ยงลูกด้วยเงิน พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข ยอมแม้กระทั่งเอาเงินให้ลูกเขย(ชูนาม)ไปทำยังไงก็ได่้ แค่ขอให้ลูกตัวเองมีความสุข แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นายแม่คมขวัญก็อธิบายให้ปานรุ้งเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่ปานรุ้งกลับไม่ฟัง คิดว่าแม่รักน้อง(ที่ไม่สบาย)มากกว่า

นายแม่ปานรุ้ง... รักลูกมาก พยายามเติมในสิ่งที่ตัวเอง(คิดว่า)ขาดให้กับลูก แต่กลายเป็นว่า "มันมากไป" ทว่า พอมาดูสิ่งที่ลูก ๆ ของนายแม่ปานรุ้งเจอ มันก็ไม่ใช่ความผิดนายแม่ทั้งหมดซะทีเดียว

ชูนาม... รักสนุก รักเงิน รักตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่ง ไม่เคยโทษการกระทำของตัวเองเลย(เหมือนแม่เป๊ะ) แต่เอาจริง ๆ เกลียดตัวละครนี้ไม่ลงนะ คือถ้าดูตลอดจะรู้เลยว่าชูนามรักแม่(คุณนายร้อยกรอง) รักลูก(ปานเทพ) มาก ๆ

พ่อเกื้อ... รักนายแม่ปานรุ้งมาก อารมณ์เด็ดดอกฟ้า รักแทบถวายชีวิต #ทีมพ่อเกื้อ

วาสุเทพ... นี่ก็รักปานรุ้งแบบไม่ลืมหูลืมตาดูว่าตัวเองมีคู่หมั้นแล้ว จนปานรุ้งแต่งงานกับชูนาม จนมาเจอปานรุ้งอยู่กับเกื้อ จนตัวเองแต่งงานกับกติยาแล้ว ก็ยังทำผิดลูกผิดเมีย วาสุเทพคือผิดจริงจังนะ ถึงจะไม่ได้รักกติยา แต่ก็แต่งงานแล้ว ปานรุ้งก็มีลูกกับเกื้อแล้ว ก็ยังจะ... นะ

กติยา... แรก ๆ ก็สงสารนะ โดนเพื่อนสนิทแย่งคู่หมั้น แต่นางก็แอบร้ายตอนมาเจอชูนาม สุมหัวกันวางแผนกับชูนาม สุดท้ายได้คู่หมั้นคืน แต่ก็ได้แต่ตัวไง พอสุดท้ายวาสุเทพมาทิ้งไปหาปานรุ้ง ก็ไม่ปล่อยวาง ยิ่งพอมารู้ทีหลังว่าตัวเองท้องยิ่งบ้าไปใหญ่ ตัวละครนี้ความบ้าเข้าขั้นมาก บ้ามาก บ้าขนาดใช้ลูกตัวเองเป็นเครื่องมือแก้แค้น

มารุ่นลูก ที่ต้องเกิดโศกนาฏกรรมเพราะความรักที่มากเกินพอดีของนายแม่ (?)

ปานเทพ(ลูกชูนาม)... นายแม่รักมาก ตามใจ ส่งเสียไปเรียนเมืองนอก แต่หิ้วเมียกลับมา นายแม่ก็พยายามทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดสะใภ้คนนี้(วิภาวี) จริง ๆ ตัวละครนี้มันจะไม่พังหรอก ถ้าไม่หูเบา ขี้อิจฉา กลัวคนอื่นได้ดีกว่า (เชื้อพ่อมันแรง)

ปรก(ลูกพ่อเกื้อ)... ลูกแม่ไม่รัก เอ้ยไม่สิ รักน้อยกว่าลูกคนอื่น นายแม่ไม่ค่อยสนใจ เห็นว่าเป็นลูกพ่อเกื้อ คงไม่ทำให้ตัวเองผิดหวัง ดูเหมือนนายแม่จะปล่อยปละละเลย แต่ปรกก็เป็นลูกคนเดียวที่ชีวิตไม่พังนะเออ

ปานวาด(ลูกวาสุเทพ)... รักเกินรักมักทำลายนี่อาจจะโดนปานวาดไปเต็ม ๆ ดูเหมือนจะเข้าคอนเซ็ปต์สุดละ นายแม่เข้มงวดกับปานวาดมาก ให้วาดเป็นคนดูแลน้องตลอด มีอะไรนิดหน่อยก็ดุวาด วาดจะมีความรักก็คอยขวาง เพราะห่วงเกินไป(จริง ๆ ก็เข้าใจนายแม่นะ เพราะโดมกับวาดก็แทบจะใช้ชีวิตคนละแบบเลย) แต่นายแม่รับผิดไปเต็ม ๆ เลยตอนที่เรื่องมันกำลังจะดี แต่นายแม่ก็ทำมันพัง ชีวิตลูกก็เลยพังยับ

ปกรณ์(ลูกวาสุเทพ)... ปานรุ้งเลี้ยงปกรณ์แบบแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเองเลย ทำตามคำสั่งอย่างเดียว โอ๋มาก สุดท้ายมันทำให้ปกรณ์ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ ขาดสติในการตัดสินใจ จุดจบของปกรณ์มันวูบเดียวจริง ๆ แต่กรณีปกรณ์เนี่ย มาดูที่ตัวบทละครแล้ว นายแม่ไม่ผิดเลยนะ ไม่ผิดเลยจริง ๆ แต่คนเขียนบทพยายามยัดเยียด(รู้สึกเลยว่าโดนยัดเยียด)ความคิดที่ว่าที่ปกรณ์เป็นแบบนี้เพราะนายแม่

เอาจริงๆ ตัวโครงเรื่องของละครเรื่องนี้มันสนุกมาก ดราม่าเข้มข้นเลยแหละ แต่จุดอ่อนของละครมันดันอยู่ที่บท มีหลายจุดมากที่มันไม่สมเหตุสมผล หนัก ๆ เลยก้ทีมลูกสะใภ้บ้านสมุทรเทวา

นิชา&วิรินทร์... สองคนนี้ตรรกะป่วยมาก มากแบบมาก ๆ นิชานี่ก็แบบเข้ามาในจังหวะที่บ้านสมุทรเทวามันมีแต่เรื่อง แต่นางก้ยังจะเรียกร้องให้ปรกสนใจ มีการประชดว่าปรกรักนายแม่มากกว่า(ก็แม่ปะวะ) วิรินทร์ก็พอกันเลย เผลอ ๆ หนักกว่านิชาอีก คิดว่าตัวเองเก่ง โกหกกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง สุดท้ายโยนความผิดให้นายแม่อีก สามีตายเลยเป็นไงล่ะ ความผิดวิรินทร์เต็ม ๆ

จริง ๆ ยังมีอีกหลายจุดที่บทมันมีรอยรั่ว

ส่วนตัวรู้สึกว่าละครเรื่องนี้มันจะพีคกว่านี้ถ้าบทมันสมบูรณ์แบบ ไม่พยายามยัดเยียดความดราม่าให้คนดูจนขาดความสมเหตุสมผล จนมันหลุดคอนเซ็ปต์ "รักเกินรักมักทำลาย"

มาที่นักแสดง

รุ่นพ่อรุ่นแม่ปังค่ะปังงงงงงงงงงงงงงง ฝีมือดีกันอยู่แล้ว อ้อม พิยดา เล่นบทดราม่าดี ชอบ ร้องไห้ได้น่าสงสารมาก (เกลียดนายแม่ไม่ลง) เต๋า สมชาย ก็สุด ๆ อินเนอร์แรงมาก ทะลุจอ ฉากออกจากคุกนี่สัมผัสได้ถึงรังสีแห่งความเลวร้าย 5555 หนุ่ม ศรราม ก็หล่อทะลุจอ เอ้ย ผิดประเด็น คือเล่นดีอะ บทวาสุเทพนี่ตีบทพ่อแตกกระจุย ตอนที่ไเจอลูกสาวในซ่อง หูยยย ปรบมือ ส่วนมอส นี่ก็แบบ โคตรน่าสงสาร ตอนฉากปานรุ้งจะพาลูกไปอยู่กับวาสุเทพนี่ร้องไห้ปานใจจะขาด คนดูหน้าจอก็ใจจะขาดตาม มันบีบหัวใจมาก เป็นซีนที่เสียน้ำตามากที่สุดแล้วสำหรับละครเรื่องนี้ คือร้องไห้ทั้งเบรก ร้องจนตาบวม

ชอบซีนที่เต๋า มอส หนุ่ม เข้าฉากด้วยกันกลางฝนมาก คือมันดูมีพลังสุด ๆ สายฝนบังพลังการแสดงไม่มิดจริง ๆ

อีกคนที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้สำหรับรุ่นพ่อรุ่นแม่คือกติยา ตอนแรก ๆ ก็สงสารนางมาก ต่อมาเริ่มหมั่นไส้ กลัว มาจนเกลียด คือมันเป็นตัวละครที่พลิกคาแร็คเตอร์แบบสุด ๆ น้ำฝนตีบทแตกกระจุย คือหลอนนางมาก แต่ก็ต้องจับตามองนางแบบไม่ละสายตานะ ต้องดูว่านางจะบ้าแบบไหน น้ำฝนเอาคนดูอยู่มาก ณ จุดนี้ คืออารมณ์แบบฉันเกลียดแกแต่ก็ต้องดูแก ควรมอบรางวัลให้น้ำฝนนะ มันฉีกบทบาทที่น้ำฝนเคยเล่นไว้หมดเลย

มาที่รุ่นลูก เจษกับมาร์ช สองคนนี้เอาบทตัวเองอยู่นะ ยิ่งเจษนี่ฝีมือใช้ได้เลย เข้าฉากกับนักแสดงรุ่นใหญ่หลายฉากด้วย ลืมภาพพี่ปุ๊ของน้องเคทไปเลย มาร์ชก็เล่นดีนะ แต่ติดที่เสียงง้องแง้งไปหน่อย บางซีนมันเลยไม่สุด มาที่พี่กัน พี่กันเล่นติดรัชดาลัยไปหน่อยอะค่ะ แล้วก็พูดเร็วมาก ชอบตอนพี่กันเล่นเป็นวนัสในคู่กรรมมากกว่า นั่นฉันทีมวนัสเลยนะ 55555 ข้ามมาที่โดมก่อน พ้อยท์เล่นดีมากแกกกก ทำไมนะทำไม ไม่ได้เป็นพระเอกเต็มตัวสักที ดันหน่อยเถอะค่ะ

ข้ามมาที่ทีมลูกสะใภ้ก่อน เปมี่&เบน นี่ก็จะให้สองคนนี้ตีกันทุกเรื่องหรือยังไง แต่ก็ชอบนะ แซ่บดี เรื่องนี้บทวิภาวีมันก็ไม่ได้ทิ้งลายริบบิ้นมากเท่าไหร่ ส่วนตัวดูแล้วเฉย ๆ ไม่ได้โดดเด่น ส่วนบทนิชา เราว่าเบญยังพูดแปลก ๆ อะ ไม่รู้นะ ดูแล้วก็เฉย ๆ แต่ก็ไม่ได้แย่ ถือว่าผ่านทั้งคู่ มาที่พลอยชมพู แอ็คติ้งนางไม่แย่นะสำหรับละครเรื่องแรก แล้วบทวิรินทร์ก็เกินตัวพลอยชมพูมาก เลยยังดูขัด ๆ แล้วพลอยชมพูต้องไปเรียนวิธีการพูดมาใหม่อะ ยิ่งมาเจอบทแบบป่วย ๆ ตอนหลัง ๆ นี่แทบพัง แต่มันเป็นละครเรื่องแรก เลยพอให้อภัยกันไป

คนสุดท้ายค่ะ เชอรีนกับบทปานวาด ปังมาก ปัง ปัง ปัง ตีบทแตกกระจุย อยากให้ได้รางวัลดาวรุ่งหญิง ไม่ได้อวยนะ คือเมื่อก่อนไม่ชอบเชอรีน(ไม่มีเหตุผล อย่าถาม 555) แต่แบบ เรื่องนี้นางทำได้ดีมากจริง ๆ เลอค่ามาก ทำน้ำตาซึมไปหลายซีนเลย ยิ่งท้าย ๆ นะ ยอมมมมมมมมมมม

เออ เขียนอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้ ยาวมาก นี่ขึ้นหน้าที่สี่ของกระดาษแล้วเนี่ย เยอะเกิ๊น

สรุปแล้ว ภาพรวมละครเรื่องนี้ก็น่าดูนะ ถึงบทมันจะขาดความสมเหตุสมผลไปบ้างก็ตาม ใครที่ชอบดราม่าเข้มข้นก็จัดเลย แต่ถ้าชอบละครลูกกวาดก็ผ่านมันไปเถอะ ไม่เหมาะอย่างแรง แต่ขอเตือนก่อนว่า ละครมันเครียดมาก อย่าดูติดต่อกันหลาย ๆ ตอน มันปวดหัว พักบ้าง เดี๋ยวไมเกรนขึ้น


พอละ พล่ามมาเยอะกว่าตอบข้อสอบอีก จบ



วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แปลงไฟล์ง่ายๆด้วย Format Factory

เมื่อก่อนเอเคยเจอปัญหาเรื่องการแปลงไฟล์ค่ะ แต่ตั้งแต่มีโปรแกรม Format Factory ที่แปลงไฟล์ได้แทบทุกอย่าง แถมขั้นตอนก็ง่ายมากๆ ด้วย ชีวิตเลยสบายขึ้นเยอะ

       Format Factory เป็นโปรแกรมแปลงไฟล์ที่ใช้งานได้ฟรีและมีคุณสมบัติที่ค่อนข้างครบ สามารถแปลงไฟล์ได้ทั้งเสียง วิดีโอ และรูปภาพ แถมยังรองรับภาษาได้ถึง 62 ภาษา และที่เอชอบมากๆ เลยคือมันสามารถแก้ไขไฟล์ได้ด้วย
       ก่อนอื่นใครที่ยังไม่มีโปรแกรมนี้ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://format-factory.joydownload.com/?c=9&gclid=CIiJ1vjJz8ECFVgUjgodNo0ANw ย้ำอีกครั้งนะคะว่า ฟรี!!
       เมื่อทำการติดตั้งเรียบร้อยแล้ว เรามาดูวิธีการใช้งานเบื้องต้นกันค่ะ

       ขั้นแรกให้ลากไฟล์ที่เราต้องการแปลงไฟล์มาไว้บริเวณพื้นที่ว่างๆ ของโปรแกรมตามรูปเลยค่ะ
       จากนั้นให้เลือกชนิดของไฟล์ที่ต้องการแปลงและเลือกโฟลเดอร์ปลายทางที่ต้องการเซฟไฟล์
       และเรายังสามารถแก้ไขรูปภาพได้โดยการคลิกที่การตั้งค่า เมื่อตั้งค่ารูปภาพเรียบร้อยแล้วให้กดตกลง
       คลิกที่เริ่มเพื่อเริ่มแปลงไฟล์ และรอให้แถบสถานะขึ้นว่าเสร็จสมบูรณ์ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
       ง่ายมากๆเลยใช่ไหมล่ะคะ เพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้นเอง ส่วนการแปลงไฟล์เสียงและไฟล์วิดีโอก็ทำแบบเดียวกันเลยค่ะ
       นอกจากนี้เรายังสามารถตัดไฟล์เสียงและไฟล์วิดีโอได้ด้วยนะคะ โดยหลังจากที่เราเลือกชนิดของไฟล์ ตั้งค่าไฟล์ และกดตกลงเรียบร้อยแล้ว ให้เราคลิกขวาที่ชื่อไฟล์ที่แสดงในหน้าหลักของโปรแกรมแล้วเลือกการตั้งค่าพิสัย จะปรากฏหน้าจอตามรูป เราก็เลือกช่วงเวลาที่ต้องการตัดและกดตกลงค่ะ หลังจากนั้นก็ทำการกดเริ่มแปลงไฟล์ตามปกติ
       ความสามารถของ Format Factory ยังไม่หมดแค่นี้ค่ะ โปรแกรมนี้ยังสามารถรวมไฟล์วิดีโอ ไฟล์เสียง และรวมทั้งไฟล์วิดีโอและเสียงไว้ด้วยกันได้อีกด้วย อะไรมันจะสารพัดประโยชน์ขนาดนี้เนี่ย
       เป็นอีกโปรแกรมที่เอแนะนำให้มีติดเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้เลยค่ะ เพราะมันมีประโยชน์มากจริงๆ ยังไงก็ลองใช้กันดูนะคะ ไม่ยากเลย หรือใครสงสัยอะไรก็คอมเม้นต์มาถามได้ค่ะ (สงสัยตั้งแต่บรรทัดแรกเลย ฮ่าๆ) เอยินดีตอบ

       ใครว่าของฟรีไม่มีในโลก ไม่จริงนะคะ ของฟรียังมีอยู่ แถมยังเป็นของฟรีที่ดีดี๊ดีอีกด้วย :)

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จดหมายจากเกียวโต... ถึงเมืองไทย

หนังสือที่เหมือนจะเป็นการเล่าเรื่องของการใช้ชีวิตในต่างแดนธรรมดาๆ แต่หากลองอ่านให้ดีแล้ว คุณจะรู้ว่ามัน”ไม่ธรรมดา

       ตอนแรกที่อ่านก็ไม่ได้คิดจะมาเขียนอะไรเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้หรอกค่ะ แต่พออ่านไปอ่านมาแล้วรู้สึกเหมือนผู้เขียนต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่างผ่านการเล่าเรื่องชีวิตในเกียวโต ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอคิดเยอะไปรึเปล่า
      จดหมายจากเกียวโต เป็นการรวมบทความจากคอลัมน์ จดหมายจากเกียวโต ในมติชนสุดสัปดาห์ เขียนโดย ฮิมิโตะ ณ เกียวโต หรือที่หลายๆคนรู้จักในชื่อ คำ ผกา เจ้าของคอลัมน์ กระทู้ดอกทอง ในมติชนสุดสัปดาห์ แค่ชื่อคนเขียนก็บอกแล้วค่ะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ ถึงแม้ว่าจดหมายจากเกียวโตจะเป็นผลงานในวงการนักเขียนชิ้นแรกของเธอก็ตาม
       อย่างที่บอกค่ะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะเป็นการเล่าเรื่องของผู้เขียนในขณะที่ไปศึกษาต่อที่เกียวโตแล้ว ยังได้สอดแทรกการวิพากษ์สังคม โดยเปรียบเทียบสังคมไทยกับสังคมญี่ปุ่นที่ผู้เขียนได้ไปประสบพบเจอ
       เปิดเรื่องแรกมาด้วย “ประชาธิปไตยในแฟชั่น ที่พูดถึงเรื่องการแต่งกายของคนในญี่ปุ่นที่ไม่ได้ยึดติดว่าแต่งแบบไหนถึงเรียกว่าสวย ทุกคนสามารถดูดีได้ในแบบของตัวเอง ฮิมิโตะได้ทิ้งท้ายบทนี้ไว้ว่า ยิ่งไปกว่าความเท่าเทียมอันเกิดจากการสร้างสรรค์ของระบบทุนนิยม การตั้งคำถามกับอำนาจหลักในสังคม แม้กระทั่งเรื่องแฟชั่นและความงาม ย่อมเป็นพื้นฐานของการปลดปล่อยตนเองในระบบอำนาจนิยม และเป็นความหวังที่จะเห็นความเป็นประชาธิปไตยผลิใบออกมาบ้างมิใช่หรือ มันทำให้เราต้องมองย้อนกลับมาดูตัวเองว่า ทุกวันนี้เรายึดติดกับกฎเกณฑ์หรือค่านิยมอะไรมากเกินไปหรือเปล่า?
       เรื่อง “มีอะไรในสหกรณ์ ฮิมิโตะได้เล่าถึงของสารพัดชนิดที่มีขายในสหกรณ์ของมหาวิทยาลัยที่เธอไปเรียน ที่มีขายทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนของคอมพิวเตอร์ ตั๋วคอนเสิร์ต ตั๋วชมนิทรรศการ ทัวร์ ตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถบัส ตั๋วรถไฟ หนังสือ ซีดี และอาหาร ซึ่งแตกต่างจากสหกรณ์ในมหาวิทยาลัยของไทยที่ของที่ขายวนอยู่กับเรื่องเรียนและของชำ แสดงให้เห็นว่าที่ญี่ปุ่นเห็นนักเรียนเป็นคนที่มีความรู้ มีวุฒิภาวะ สามารถจัดการกับตัวเองได้ ซึ่งต่างจากในไทยที่มองว่า “เด็กต้องมีการจัดการดูแลและควบคุมความประพฤติ และมองว่าก็เป็น “เด็กจะเอาอะไรมากมาย
      สิ่งที่เราเห็นว่างดงามที่สุดคือสิ่งที่เราไม่มีวันเก็บไว้กับตัวเราตลอดไปได้ ช่วงเวลาที่งดงามที่สุดคือช่วงเวลาแห่งการจากลา ขณะเดียวกัน ความงามก็เป็นความเศร้าอย่างลึกซึ้ง ข้อความนี้มาจากเรื่อง “ใบไม้ร่วงที่เกียวโต ซึ่งก็ไม่ได้แสดงการวิพากษ์สังคมอย่าชัดเจน(หรือเออาจจะเข้าไม่ถึง ฮ่าๆ) แต่ข้อความนี้ก็ทำให้เอฉุกคิดได้ว่า เรามักจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราไม่สามารถเก็บไว้กับตัวเราได้ แต่เมื่อเราได้มันมาเป็นเจ้าของแล้ว เราก็มักจะมองข้ามสิ่งนั้น ข้อความนี้เป็นข้อความที่เอชอบมาถึงขนาดเอาไปตั้งสเตตัสเฟซบุ๊กเลยค่ะ
      “ห้องประมูล (auction)เรื่องนี้ฮิมิโตะเล่าถึงการที่คนญี่ปุ่นจะนิยมนำของที่ล้าสมัยหรือตกรุ่นมาประมูลขายใน yahoo auction และทุกคนที่เข้ามาใช้บริการห้องประมูลจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นอย่างมากและไม่เคยพบข่าวโกงกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว แสดงให้เห็นถึงสำนึกในความมีสิทธิเท่าเทียมกันของคนในชาติ เธอทิ้งท้ายไว้ว่า สังคมไทยก็เป็นสังคมหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความหวาดระแวงในหมู่พลเมืองด้วยกันเอง โดยการธำรงรักษาไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำ และปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งสามารถแก่งแย่งเอารัดเอาเปรียบคนอีกกลุ่มหนึ่งได้มานานแสนนาน โดยไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น ถ้าหน้าไม่เหมือนพ่อกู กูเบี้ยวได้กูก็เบี้ยว กูโกงได้กูก็โกง จริงไหม ทิ้งท้ายได้แสบมากจริงๆค่ะ
       และในเรื่อง “เที่ยวเมืองไทยสไตล์ญี่ปุ่น ฮิมิโตะแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของเมืองไทยในสายตาคนญี่ปุ่น(ส่วนหนึ่ง) ที่มองว่าวัดวาอารามที่เราว่าสวยงามนักสวยงามหนามีสีสันสวยงามเหมือนในการ์ตูน อาหารการกินของเมืองไทยก็ช่างแปลกพิสดาร ซึ่งคนที่มองแบบนี้ส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวที่หาข้อมูลมาเที่ยวเอง ซึ่งมุมมองแบบนี้แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่การท่องเที่ยวพยายามโปรโมทอย่างสิ้นเชิง 
       นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ยกมาพอหอมปากหอมคอเท่านั้นค่ะ ขืนยกมาหมดก็จะเป็นการสปอยล์เนื้อหาในหนังสือเกินไปหน่อย ยังไงลองไปหาอ่านกันดูนะคะ จะอ่านเอาสนุกก็ได้ ไม่ต้องวิเคราะห์เจาะลึกอะไรจริงจัง เพราะนี่ก็เป็นแค่มุมมองของเอที่มีต่อหนังสือเล่มนี้เท่านั้นค่ะ คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกันก็ได้

       สุดท้ายอยากจะฝากไว้ว่า ของบางอย่างที่มองเผินๆอาจจะดูธรรมดา หากเราพิจารณาให้ดี เราอาจจะพบว่า มันไม่ธรรมดาก็ได้นะคะ 

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เตรียมตัวสอบใบขับขี่ด้วยแอป “ฝึกทำข้อสอบใบขับขี่”

หลังจากที่กรมการขนส่งปรับเกณฑ์ผ่านการสอบข้อเขียนสูงถึง 90% หลายๆคนที่กำลังจะไปสอบใบขับขี่ก็คงจะกังวลกันใช่ไหมคะ แต่แอปพลิเคชั่น ฝึกทำข้อสอบใบขับขี่ สามารถช่วยคุณได้ค่ะ

       แอปพลิเคชั่นฝึกทำข้อสอบใบขับขี่เป็นการนำข้อสอบใบขับปี 2557 จากเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบกมารวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อให้บุคคลทั่วไปสามารถฝึกทำข้อสอบได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงแค่คุณมีสมาร์ทโฟนติดตัวเท่านั้น
       ก่อนอื่นเข้าไปดาวน์โหลดแอปที่ Google Play กันก่อนค่ะ เมื่อเปิดแอปขึ้นมาจะเจอหน้าตาแบบนี้ แบ่งเป็นหมวดหมู่ทั้งหมด 11 หมวด
  • หมวดที่ 1 กฎหมายว่าด้วยรถยนต์
  • หมวดที่ 2 กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
  • หมวดที่ 3 เครื่องหมายพื้นทาง
  • หมวดที่ 4 ป้ายบังคับ
  • หมวดที่ 5 ป้ายเตือน
  • หมวดที่ 6 ป้ายแนะนำ
  • หมวดที่ 7 มารยาทและจิตสำนึก
  • หมวดที่ 8 เทคนิคการขับรถอย่างปลอดภัย
  • หมวดที่ 9 การบำรุงรักษา
  • หมวดที่ 10 รูปภาพจราจร
  • หมวดที่ 11 การรับรู้สถานการณ์อันตราย
       โดยเราสามารถเลือกทำหมวดใดก่อน-หลังก็ได้ตามใจชอบเลยค่ะ หน้าตาของข้อสอบก็จะเป็นเหมือนในรูปด้านล่างเลย เป็นข้อสอบแบบช้อยส์ค่ะ

       นอกจากนี้แอปพลิเคชั่นตัวนี้ยังมีเฉลยให้ด้วยนะคะ ข้อดีของแอปนี้คือเราจะรู้เฉลยทันทีที่เราเลือกคำตอบค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดเฉลยกลับไปกลับมา

       ใครที่กำลังเตรียมตัวสอบใบขับขี่อยู่ลองดาวน์โหลดไปใช้กันดูนะคะ ฝึกทำบ่อยๆ รับรองว่าคะแนนสอบผ่าน 90% แน่นอนค่ะ ส่วนใครที่ไม่ได้สอบใบขับขี่ก็สามารถดาวน์โหลดมาทำเพื่อเป็นความรู้รอบตัวได้ รู้ไว้ก็ไม่เสียหายนะคะ

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ทำตารางเรียนง่ายๆด้วย Timetable

“เอ๊ะ! วันนี้เรียนอะไรนะ เรียนที่ไหน ต้องส่งการบ้านอะไรบ้าง และมีสอบหรือเปล่าปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเพียงแค่คุณมีแอปพลิเคชั่น Timetable ติดไว้บนสมาร์ทโฟนของคุณค่ะ

       วันนี้เอมีแอปพลิเคชั่นสำหรับนักเรียนนักศึกษามาแนะนำค่ะ แอปตัวนี้มีชื่อว่า Timetable เป็นแอปที่จะช่วยจัดการตารางเรียน กำหนดส่งงาน และกำหนดสอบต่างๆค่ะ อ๋อ! ลืมบอกไปค่ะว่าเป็นแอปที่ปฏิบัติการบนระบบ android นะคะ
       ก่อนอื่นเราต้องมีเจ้าแอปตัวนี้ติดเครื่องไว้ก่อนค่ะ โดยสามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ฟรีที่ Google Play เมื่อดาวน์โหลดเรียบร้อยเปิดแอปขึ้นมาจะเจอหน้าตาแบบนี้ค่ะ
       เรามาดูวิธีการสร้างตารางเรียนกันดีกว่าค่ะ ให้เข้าไปที่ New Lesson จะปรากฏหน้าจอตามภาพด้านล่าง ให้เราใส่รายละเอียดของวิชาเรียนลงไปค่ะ และเราสามารถเลือกสีที่จะแสดงได้ด้วย
       จากนั้นเราก็แอดวิชาเรียนให้ครบก็จะได้หน้าตาตารางเรียนออกมาตามภาพค่ะ และเราสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดของแต่ละวิชาได้
       นอกจากทำตารางเรียนได้แล้ว แอปนี้ยังสามารถจดการบ้านได้ด้วยนะคะ วิธีทำก็ง่ายๆ เลย ให้ไปที่มุมด้านขวาข้างๆเครื่องหมาย + แล้วเลือก New Task หรือไปที่เมนู Task ตามภาพ จากนั้นก็ใส่รายละเอียดการบ้านหรือการสอบของเราลงไป
       เอาล่ะค่ะ หลังจากที่เราป้อนข้อมูลตารางเรียน การบ้าน กำหนดสอบอะไรเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องทำให้มันแจ้งเตือนเราด้วยนะคะ โดยไปที่ Setting > Notification & Automute เพื่อกำหนดค่าการแจ้งเตือนค่ะ
       นอกจากนี้เรายังสามารถตั้งค่าในส่วนอื่นๆได้อีกด้วยนะคะ ยังไงก็ลองเล่นดูแล้วกันค่ะ เป็นอีกแอปพลิเคชั่นที่น่าสนใจและมีประโยชน์ไม่น้อยเลยค่ะ

       ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกล ถ้าเราเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีต่างๆให้เป็นประโยชน์ ชีวิตขงเราก็จะสะดวกสบายมากขึ้นทีเดียวค่ะ

ขออนุญาตฝากร้าน vs งดฝากร้าน

เดี๋ยวนี้ร้านค้าใน imstagram ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเลยนะคะ แล้ววิธีหนึ่งในการโฆษณาของร้านค้าเหล่านี้คือการฝากร้านใน instagram ของดาราค่ะ จนบางทีแทบจะหาคอมเม้นต์ที่เกี่ยวกับภาพไม่เจอเลย

       ปกติแล้วเวลาเราตาม instagram ดารา เราก็จะอ่านคอมเม้นต์ใต้รูปด้วยใช่ไหมคะ แต่ช่วงหลังๆ มานี้ ตามอ่านคอมเม้นต์แล้วเจอแต่ ฝากร้าน ฝากร้าน ฝากร้าน เต็มไปหมดเลย จนไม่อยากจะอ่านคอมเม้นต์แล้วค่ะ
คอมเม้นต์ใน instagram ของ @ying_rhatha
       นี่ขนาดเราเป็นแค่คนตามเรายังรู้สึกรำคาญเลยค่ะ แล้วเจ้าของภาพเขาจะว่ายังไงกันบ้างนะ
ภาพจาก @chermarn
       มาเริ่มกันที่ พลอย เณอมาลย์ ที่คงรู้สึกรำคาญไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากบอกเตือนแล้วเตือนอีก เลยประชดด้วยการให้ฝากร้านไปเลยหนึ่งเดือนเต็มๆ
ภาพจาก @aum_patcharapa
       ทางด้าน อั้ม พัชราภา หลังจากที่ลงรูปประกาศหาเจ้าของน้องหมาแล้วมีบรรดาแม่ค้ามาฝากร้าน ก็ถึงกับปรี๊ดแตกกันเลยทีเดียว แต่ก็นะ... เขาจะประกาศหาเจ้าของน้องหมา ยังจะไปฝากร้านกันอีก
ภาพจาก @opalpanisara
       จากตอนแรกที่จะไม่ว่าอะไร แต่ตอนนี้สาวฝีปากกล้าอย่าง โอปอล์ ปาณิสรา ก็ต้องออกมาฝากถึงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าสักหน่อย
ภาพจาก @tukky66
       ฟากตลกร้อยล้านอย่าง ตุ๊กกี้ ชิงร้อย ก็พอหยวนๆ ให้ได้ค่ะ แต่ถ้าเกิน 2 บรรทัด ขออนุญาตบล็อกนะคะ พบกันคนละครึ่งทางค่ะ แบบนี้เอก็ว่าแฟร์ดีนะคะ
ภาพจาก @baitoey_rsiam
       เจ้าของฉายาสั้นเสมอหูอย่าง ใบเตย อาร์สยาม ก็สุดจะทนเหมือนกัน เลยขอฝากถึงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าสักหน่อย
ภาพจาก @focusbabyhippo
       มาที่ดาราวัยรุ่นอย่าง โฟกัส จิระกุล ที่ประกาศแล้วประกาศอีกว่าไม่รับฝากร้านนะคะ แต่ก็ยังมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้ามาฝากกันเรื่อยๆ จนเจ้าตัวต้องออกมาบอกว่า ถ้าฝากอีกจะบล็อกนะคะ
ภาพจาก @alexrendell
       ปิดท้ายกันที่หนุ่ม อเล็กซ์ เรนเดล คนนี้ออกแนวตัดพ้อเล็กน้อยค่ะ ก็แหม... คอมเม้นต์ฝากร้านมันเยอะจนไม่เห็นคอมเม้นต์แฟนๆเลยนี่คะ
       เข้าใจค่ะว่าคนทำมาค้าขายก็อยากจะให้กิจการตัวเองขายดิบขายดี แต่จะโฆษณาร้านตัวเองก็ต้องดูกาลเทศะด้วยนะคะ ไม่ใช่กะจะขายลูกเดียว ดีไม่ดีนอกจากจะขายไม่ได้แล้วยังจะโดนด่าอีก เสียอารมณ์กันทั้งคนฝากและคนถูกฝากค่ะ และไม่ใช่แค่เฉพาะใน intagram เท่านั้นนะคะ การแท็กโฆษณาใน facebook ก็เหมือนกัน

       อย่างไรก็ตาม การทำมาค้าขายก็เป็นอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดหรอกค่ะที่เราอยากให้ร้านของเราขายดี แต่ก็พยายามอย่าไปรบกวนพื้นที่ของคนอื่นมากเกินไป จะโพสต์ขายอะไรก็พิจารณาดูตามความเหมาะสมนะคะ