วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แปลงไฟล์ง่ายๆด้วย Format Factory

เมื่อก่อนเอเคยเจอปัญหาเรื่องการแปลงไฟล์ค่ะ แต่ตั้งแต่มีโปรแกรม Format Factory ที่แปลงไฟล์ได้แทบทุกอย่าง แถมขั้นตอนก็ง่ายมากๆ ด้วย ชีวิตเลยสบายขึ้นเยอะ

       Format Factory เป็นโปรแกรมแปลงไฟล์ที่ใช้งานได้ฟรีและมีคุณสมบัติที่ค่อนข้างครบ สามารถแปลงไฟล์ได้ทั้งเสียง วิดีโอ และรูปภาพ แถมยังรองรับภาษาได้ถึง 62 ภาษา และที่เอชอบมากๆ เลยคือมันสามารถแก้ไขไฟล์ได้ด้วย
       ก่อนอื่นใครที่ยังไม่มีโปรแกรมนี้ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://format-factory.joydownload.com/?c=9&gclid=CIiJ1vjJz8ECFVgUjgodNo0ANw ย้ำอีกครั้งนะคะว่า ฟรี!!
       เมื่อทำการติดตั้งเรียบร้อยแล้ว เรามาดูวิธีการใช้งานเบื้องต้นกันค่ะ

       ขั้นแรกให้ลากไฟล์ที่เราต้องการแปลงไฟล์มาไว้บริเวณพื้นที่ว่างๆ ของโปรแกรมตามรูปเลยค่ะ
       จากนั้นให้เลือกชนิดของไฟล์ที่ต้องการแปลงและเลือกโฟลเดอร์ปลายทางที่ต้องการเซฟไฟล์
       และเรายังสามารถแก้ไขรูปภาพได้โดยการคลิกที่การตั้งค่า เมื่อตั้งค่ารูปภาพเรียบร้อยแล้วให้กดตกลง
       คลิกที่เริ่มเพื่อเริ่มแปลงไฟล์ และรอให้แถบสถานะขึ้นว่าเสร็จสมบูรณ์ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
       ง่ายมากๆเลยใช่ไหมล่ะคะ เพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้นเอง ส่วนการแปลงไฟล์เสียงและไฟล์วิดีโอก็ทำแบบเดียวกันเลยค่ะ
       นอกจากนี้เรายังสามารถตัดไฟล์เสียงและไฟล์วิดีโอได้ด้วยนะคะ โดยหลังจากที่เราเลือกชนิดของไฟล์ ตั้งค่าไฟล์ และกดตกลงเรียบร้อยแล้ว ให้เราคลิกขวาที่ชื่อไฟล์ที่แสดงในหน้าหลักของโปรแกรมแล้วเลือกการตั้งค่าพิสัย จะปรากฏหน้าจอตามรูป เราก็เลือกช่วงเวลาที่ต้องการตัดและกดตกลงค่ะ หลังจากนั้นก็ทำการกดเริ่มแปลงไฟล์ตามปกติ
       ความสามารถของ Format Factory ยังไม่หมดแค่นี้ค่ะ โปรแกรมนี้ยังสามารถรวมไฟล์วิดีโอ ไฟล์เสียง และรวมทั้งไฟล์วิดีโอและเสียงไว้ด้วยกันได้อีกด้วย อะไรมันจะสารพัดประโยชน์ขนาดนี้เนี่ย
       เป็นอีกโปรแกรมที่เอแนะนำให้มีติดเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้เลยค่ะ เพราะมันมีประโยชน์มากจริงๆ ยังไงก็ลองใช้กันดูนะคะ ไม่ยากเลย หรือใครสงสัยอะไรก็คอมเม้นต์มาถามได้ค่ะ (สงสัยตั้งแต่บรรทัดแรกเลย ฮ่าๆ) เอยินดีตอบ

       ใครว่าของฟรีไม่มีในโลก ไม่จริงนะคะ ของฟรียังมีอยู่ แถมยังเป็นของฟรีที่ดีดี๊ดีอีกด้วย :)

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จดหมายจากเกียวโต... ถึงเมืองไทย

หนังสือที่เหมือนจะเป็นการเล่าเรื่องของการใช้ชีวิตในต่างแดนธรรมดาๆ แต่หากลองอ่านให้ดีแล้ว คุณจะรู้ว่ามัน”ไม่ธรรมดา

       ตอนแรกที่อ่านก็ไม่ได้คิดจะมาเขียนอะไรเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้หรอกค่ะ แต่พออ่านไปอ่านมาแล้วรู้สึกเหมือนผู้เขียนต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่างผ่านการเล่าเรื่องชีวิตในเกียวโต ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอคิดเยอะไปรึเปล่า
      จดหมายจากเกียวโต เป็นการรวมบทความจากคอลัมน์ จดหมายจากเกียวโต ในมติชนสุดสัปดาห์ เขียนโดย ฮิมิโตะ ณ เกียวโต หรือที่หลายๆคนรู้จักในชื่อ คำ ผกา เจ้าของคอลัมน์ กระทู้ดอกทอง ในมติชนสุดสัปดาห์ แค่ชื่อคนเขียนก็บอกแล้วค่ะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ ถึงแม้ว่าจดหมายจากเกียวโตจะเป็นผลงานในวงการนักเขียนชิ้นแรกของเธอก็ตาม
       อย่างที่บอกค่ะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะเป็นการเล่าเรื่องของผู้เขียนในขณะที่ไปศึกษาต่อที่เกียวโตแล้ว ยังได้สอดแทรกการวิพากษ์สังคม โดยเปรียบเทียบสังคมไทยกับสังคมญี่ปุ่นที่ผู้เขียนได้ไปประสบพบเจอ
       เปิดเรื่องแรกมาด้วย “ประชาธิปไตยในแฟชั่น ที่พูดถึงเรื่องการแต่งกายของคนในญี่ปุ่นที่ไม่ได้ยึดติดว่าแต่งแบบไหนถึงเรียกว่าสวย ทุกคนสามารถดูดีได้ในแบบของตัวเอง ฮิมิโตะได้ทิ้งท้ายบทนี้ไว้ว่า ยิ่งไปกว่าความเท่าเทียมอันเกิดจากการสร้างสรรค์ของระบบทุนนิยม การตั้งคำถามกับอำนาจหลักในสังคม แม้กระทั่งเรื่องแฟชั่นและความงาม ย่อมเป็นพื้นฐานของการปลดปล่อยตนเองในระบบอำนาจนิยม และเป็นความหวังที่จะเห็นความเป็นประชาธิปไตยผลิใบออกมาบ้างมิใช่หรือ มันทำให้เราต้องมองย้อนกลับมาดูตัวเองว่า ทุกวันนี้เรายึดติดกับกฎเกณฑ์หรือค่านิยมอะไรมากเกินไปหรือเปล่า?
       เรื่อง “มีอะไรในสหกรณ์ ฮิมิโตะได้เล่าถึงของสารพัดชนิดที่มีขายในสหกรณ์ของมหาวิทยาลัยที่เธอไปเรียน ที่มีขายทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนของคอมพิวเตอร์ ตั๋วคอนเสิร์ต ตั๋วชมนิทรรศการ ทัวร์ ตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถบัส ตั๋วรถไฟ หนังสือ ซีดี และอาหาร ซึ่งแตกต่างจากสหกรณ์ในมหาวิทยาลัยของไทยที่ของที่ขายวนอยู่กับเรื่องเรียนและของชำ แสดงให้เห็นว่าที่ญี่ปุ่นเห็นนักเรียนเป็นคนที่มีความรู้ มีวุฒิภาวะ สามารถจัดการกับตัวเองได้ ซึ่งต่างจากในไทยที่มองว่า “เด็กต้องมีการจัดการดูแลและควบคุมความประพฤติ และมองว่าก็เป็น “เด็กจะเอาอะไรมากมาย
      สิ่งที่เราเห็นว่างดงามที่สุดคือสิ่งที่เราไม่มีวันเก็บไว้กับตัวเราตลอดไปได้ ช่วงเวลาที่งดงามที่สุดคือช่วงเวลาแห่งการจากลา ขณะเดียวกัน ความงามก็เป็นความเศร้าอย่างลึกซึ้ง ข้อความนี้มาจากเรื่อง “ใบไม้ร่วงที่เกียวโต ซึ่งก็ไม่ได้แสดงการวิพากษ์สังคมอย่าชัดเจน(หรือเออาจจะเข้าไม่ถึง ฮ่าๆ) แต่ข้อความนี้ก็ทำให้เอฉุกคิดได้ว่า เรามักจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราไม่สามารถเก็บไว้กับตัวเราได้ แต่เมื่อเราได้มันมาเป็นเจ้าของแล้ว เราก็มักจะมองข้ามสิ่งนั้น ข้อความนี้เป็นข้อความที่เอชอบมาถึงขนาดเอาไปตั้งสเตตัสเฟซบุ๊กเลยค่ะ
      “ห้องประมูล (auction)เรื่องนี้ฮิมิโตะเล่าถึงการที่คนญี่ปุ่นจะนิยมนำของที่ล้าสมัยหรือตกรุ่นมาประมูลขายใน yahoo auction และทุกคนที่เข้ามาใช้บริการห้องประมูลจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นอย่างมากและไม่เคยพบข่าวโกงกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว แสดงให้เห็นถึงสำนึกในความมีสิทธิเท่าเทียมกันของคนในชาติ เธอทิ้งท้ายไว้ว่า สังคมไทยก็เป็นสังคมหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความหวาดระแวงในหมู่พลเมืองด้วยกันเอง โดยการธำรงรักษาไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำ และปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งสามารถแก่งแย่งเอารัดเอาเปรียบคนอีกกลุ่มหนึ่งได้มานานแสนนาน โดยไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น ถ้าหน้าไม่เหมือนพ่อกู กูเบี้ยวได้กูก็เบี้ยว กูโกงได้กูก็โกง จริงไหม ทิ้งท้ายได้แสบมากจริงๆค่ะ
       และในเรื่อง “เที่ยวเมืองไทยสไตล์ญี่ปุ่น ฮิมิโตะแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของเมืองไทยในสายตาคนญี่ปุ่น(ส่วนหนึ่ง) ที่มองว่าวัดวาอารามที่เราว่าสวยงามนักสวยงามหนามีสีสันสวยงามเหมือนในการ์ตูน อาหารการกินของเมืองไทยก็ช่างแปลกพิสดาร ซึ่งคนที่มองแบบนี้ส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวที่หาข้อมูลมาเที่ยวเอง ซึ่งมุมมองแบบนี้แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่การท่องเที่ยวพยายามโปรโมทอย่างสิ้นเชิง 
       นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ยกมาพอหอมปากหอมคอเท่านั้นค่ะ ขืนยกมาหมดก็จะเป็นการสปอยล์เนื้อหาในหนังสือเกินไปหน่อย ยังไงลองไปหาอ่านกันดูนะคะ จะอ่านเอาสนุกก็ได้ ไม่ต้องวิเคราะห์เจาะลึกอะไรจริงจัง เพราะนี่ก็เป็นแค่มุมมองของเอที่มีต่อหนังสือเล่มนี้เท่านั้นค่ะ คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกันก็ได้

       สุดท้ายอยากจะฝากไว้ว่า ของบางอย่างที่มองเผินๆอาจจะดูธรรมดา หากเราพิจารณาให้ดี เราอาจจะพบว่า มันไม่ธรรมดาก็ได้นะคะ 

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เตรียมตัวสอบใบขับขี่ด้วยแอป “ฝึกทำข้อสอบใบขับขี่”

หลังจากที่กรมการขนส่งปรับเกณฑ์ผ่านการสอบข้อเขียนสูงถึง 90% หลายๆคนที่กำลังจะไปสอบใบขับขี่ก็คงจะกังวลกันใช่ไหมคะ แต่แอปพลิเคชั่น ฝึกทำข้อสอบใบขับขี่ สามารถช่วยคุณได้ค่ะ

       แอปพลิเคชั่นฝึกทำข้อสอบใบขับขี่เป็นการนำข้อสอบใบขับปี 2557 จากเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบกมารวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อให้บุคคลทั่วไปสามารถฝึกทำข้อสอบได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงแค่คุณมีสมาร์ทโฟนติดตัวเท่านั้น
       ก่อนอื่นเข้าไปดาวน์โหลดแอปที่ Google Play กันก่อนค่ะ เมื่อเปิดแอปขึ้นมาจะเจอหน้าตาแบบนี้ แบ่งเป็นหมวดหมู่ทั้งหมด 11 หมวด
  • หมวดที่ 1 กฎหมายว่าด้วยรถยนต์
  • หมวดที่ 2 กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
  • หมวดที่ 3 เครื่องหมายพื้นทาง
  • หมวดที่ 4 ป้ายบังคับ
  • หมวดที่ 5 ป้ายเตือน
  • หมวดที่ 6 ป้ายแนะนำ
  • หมวดที่ 7 มารยาทและจิตสำนึก
  • หมวดที่ 8 เทคนิคการขับรถอย่างปลอดภัย
  • หมวดที่ 9 การบำรุงรักษา
  • หมวดที่ 10 รูปภาพจราจร
  • หมวดที่ 11 การรับรู้สถานการณ์อันตราย
       โดยเราสามารถเลือกทำหมวดใดก่อน-หลังก็ได้ตามใจชอบเลยค่ะ หน้าตาของข้อสอบก็จะเป็นเหมือนในรูปด้านล่างเลย เป็นข้อสอบแบบช้อยส์ค่ะ

       นอกจากนี้แอปพลิเคชั่นตัวนี้ยังมีเฉลยให้ด้วยนะคะ ข้อดีของแอปนี้คือเราจะรู้เฉลยทันทีที่เราเลือกคำตอบค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดเฉลยกลับไปกลับมา

       ใครที่กำลังเตรียมตัวสอบใบขับขี่อยู่ลองดาวน์โหลดไปใช้กันดูนะคะ ฝึกทำบ่อยๆ รับรองว่าคะแนนสอบผ่าน 90% แน่นอนค่ะ ส่วนใครที่ไม่ได้สอบใบขับขี่ก็สามารถดาวน์โหลดมาทำเพื่อเป็นความรู้รอบตัวได้ รู้ไว้ก็ไม่เสียหายนะคะ

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ทำตารางเรียนง่ายๆด้วย Timetable

“เอ๊ะ! วันนี้เรียนอะไรนะ เรียนที่ไหน ต้องส่งการบ้านอะไรบ้าง และมีสอบหรือเปล่าปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเพียงแค่คุณมีแอปพลิเคชั่น Timetable ติดไว้บนสมาร์ทโฟนของคุณค่ะ

       วันนี้เอมีแอปพลิเคชั่นสำหรับนักเรียนนักศึกษามาแนะนำค่ะ แอปตัวนี้มีชื่อว่า Timetable เป็นแอปที่จะช่วยจัดการตารางเรียน กำหนดส่งงาน และกำหนดสอบต่างๆค่ะ อ๋อ! ลืมบอกไปค่ะว่าเป็นแอปที่ปฏิบัติการบนระบบ android นะคะ
       ก่อนอื่นเราต้องมีเจ้าแอปตัวนี้ติดเครื่องไว้ก่อนค่ะ โดยสามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ฟรีที่ Google Play เมื่อดาวน์โหลดเรียบร้อยเปิดแอปขึ้นมาจะเจอหน้าตาแบบนี้ค่ะ
       เรามาดูวิธีการสร้างตารางเรียนกันดีกว่าค่ะ ให้เข้าไปที่ New Lesson จะปรากฏหน้าจอตามภาพด้านล่าง ให้เราใส่รายละเอียดของวิชาเรียนลงไปค่ะ และเราสามารถเลือกสีที่จะแสดงได้ด้วย
       จากนั้นเราก็แอดวิชาเรียนให้ครบก็จะได้หน้าตาตารางเรียนออกมาตามภาพค่ะ และเราสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดของแต่ละวิชาได้
       นอกจากทำตารางเรียนได้แล้ว แอปนี้ยังสามารถจดการบ้านได้ด้วยนะคะ วิธีทำก็ง่ายๆ เลย ให้ไปที่มุมด้านขวาข้างๆเครื่องหมาย + แล้วเลือก New Task หรือไปที่เมนู Task ตามภาพ จากนั้นก็ใส่รายละเอียดการบ้านหรือการสอบของเราลงไป
       เอาล่ะค่ะ หลังจากที่เราป้อนข้อมูลตารางเรียน การบ้าน กำหนดสอบอะไรเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องทำให้มันแจ้งเตือนเราด้วยนะคะ โดยไปที่ Setting > Notification & Automute เพื่อกำหนดค่าการแจ้งเตือนค่ะ
       นอกจากนี้เรายังสามารถตั้งค่าในส่วนอื่นๆได้อีกด้วยนะคะ ยังไงก็ลองเล่นดูแล้วกันค่ะ เป็นอีกแอปพลิเคชั่นที่น่าสนใจและมีประโยชน์ไม่น้อยเลยค่ะ

       ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกล ถ้าเราเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีต่างๆให้เป็นประโยชน์ ชีวิตขงเราก็จะสะดวกสบายมากขึ้นทีเดียวค่ะ

ขออนุญาตฝากร้าน vs งดฝากร้าน

เดี๋ยวนี้ร้านค้าใน imstagram ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเลยนะคะ แล้ววิธีหนึ่งในการโฆษณาของร้านค้าเหล่านี้คือการฝากร้านใน instagram ของดาราค่ะ จนบางทีแทบจะหาคอมเม้นต์ที่เกี่ยวกับภาพไม่เจอเลย

       ปกติแล้วเวลาเราตาม instagram ดารา เราก็จะอ่านคอมเม้นต์ใต้รูปด้วยใช่ไหมคะ แต่ช่วงหลังๆ มานี้ ตามอ่านคอมเม้นต์แล้วเจอแต่ ฝากร้าน ฝากร้าน ฝากร้าน เต็มไปหมดเลย จนไม่อยากจะอ่านคอมเม้นต์แล้วค่ะ
คอมเม้นต์ใน instagram ของ @ying_rhatha
       นี่ขนาดเราเป็นแค่คนตามเรายังรู้สึกรำคาญเลยค่ะ แล้วเจ้าของภาพเขาจะว่ายังไงกันบ้างนะ
ภาพจาก @chermarn
       มาเริ่มกันที่ พลอย เณอมาลย์ ที่คงรู้สึกรำคาญไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากบอกเตือนแล้วเตือนอีก เลยประชดด้วยการให้ฝากร้านไปเลยหนึ่งเดือนเต็มๆ
ภาพจาก @aum_patcharapa
       ทางด้าน อั้ม พัชราภา หลังจากที่ลงรูปประกาศหาเจ้าของน้องหมาแล้วมีบรรดาแม่ค้ามาฝากร้าน ก็ถึงกับปรี๊ดแตกกันเลยทีเดียว แต่ก็นะ... เขาจะประกาศหาเจ้าของน้องหมา ยังจะไปฝากร้านกันอีก
ภาพจาก @opalpanisara
       จากตอนแรกที่จะไม่ว่าอะไร แต่ตอนนี้สาวฝีปากกล้าอย่าง โอปอล์ ปาณิสรา ก็ต้องออกมาฝากถึงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าสักหน่อย
ภาพจาก @tukky66
       ฟากตลกร้อยล้านอย่าง ตุ๊กกี้ ชิงร้อย ก็พอหยวนๆ ให้ได้ค่ะ แต่ถ้าเกิน 2 บรรทัด ขออนุญาตบล็อกนะคะ พบกันคนละครึ่งทางค่ะ แบบนี้เอก็ว่าแฟร์ดีนะคะ
ภาพจาก @baitoey_rsiam
       เจ้าของฉายาสั้นเสมอหูอย่าง ใบเตย อาร์สยาม ก็สุดจะทนเหมือนกัน เลยขอฝากถึงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าสักหน่อย
ภาพจาก @focusbabyhippo
       มาที่ดาราวัยรุ่นอย่าง โฟกัส จิระกุล ที่ประกาศแล้วประกาศอีกว่าไม่รับฝากร้านนะคะ แต่ก็ยังมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้ามาฝากกันเรื่อยๆ จนเจ้าตัวต้องออกมาบอกว่า ถ้าฝากอีกจะบล็อกนะคะ
ภาพจาก @alexrendell
       ปิดท้ายกันที่หนุ่ม อเล็กซ์ เรนเดล คนนี้ออกแนวตัดพ้อเล็กน้อยค่ะ ก็แหม... คอมเม้นต์ฝากร้านมันเยอะจนไม่เห็นคอมเม้นต์แฟนๆเลยนี่คะ
       เข้าใจค่ะว่าคนทำมาค้าขายก็อยากจะให้กิจการตัวเองขายดิบขายดี แต่จะโฆษณาร้านตัวเองก็ต้องดูกาลเทศะด้วยนะคะ ไม่ใช่กะจะขายลูกเดียว ดีไม่ดีนอกจากจะขายไม่ได้แล้วยังจะโดนด่าอีก เสียอารมณ์กันทั้งคนฝากและคนถูกฝากค่ะ และไม่ใช่แค่เฉพาะใน intagram เท่านั้นนะคะ การแท็กโฆษณาใน facebook ก็เหมือนกัน

       อย่างไรก็ตาม การทำมาค้าขายก็เป็นอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดหรอกค่ะที่เราอยากให้ร้านของเราขายดี แต่ก็พยายามอย่าไปรบกวนพื้นที่ของคนอื่นมากเกินไป จะโพสต์ขายอะไรก็พิจารณาดูตามความเหมาะสมนะคะ

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Let's go to Book Expo!

ใครว่าคนไทยไม่ค่อยอ่านหนังสือ เอไปงานหนังสือทีไรคนเยอะทุกที ก่อนจะไปเลยต้องวางแผนก่อนค่ะว่าจะซื้ออะไรที่บูธไหนบ้าง แต่ขนาดวางแผนแล้วก็ยังมึนอยู่ดี มึนที่เงินในกระเป๋าหายไปเยอะขนาดนี้เลยเหรอ (ฮ่าๆ)

ภาพจาก http://www.painaidii.com/event/event-detail/00002807/lang/th/
       “มีงานหนังสือแล้วเหรอ ของเก่ายังอ่านไม่หมดเลยนี่เป็นประโยคแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเลยค่ะตอนรู้ว่าจะมีงานหนังสือ แต่ถามว่าแคร์ไหม ? ก็... ไม่ค่ะ ยังไงก็จะไปอยู่ดี
       มาค่ะ เอจะพาไปถล่มงานหนังสือกัน Let's go!!
      ก่อนจะไปงานหนังสือ เอก็ลิสต์รายการหนังสือที่อยากได้ พร้อมดูว่าจะต้องแวะบูธไหนบ้าง โดยดูจาก http://www.painaidii.com/event/event-detail/00002807/lang/th/ หรือเสิร์ช Google ว่า งานหนังสือ ก็มีให้ดูมากมาย
       วันที่เอไปตรงกับวันหยุดพอดีค่ะ (วันปิยมหาราช) เลยต้องออกจากบ้านเร็วหน่อย ไปถึงงานประมาณ 10 โมงเศษๆ คนยังไม่เยอะค่ะ แต่ที่บูธแซลมอนบุ๊ก...
(เอไม่ได้ถ่ายรูปในงานมาเลย เลยขอยืมคนอื่นมาให้ดูแทนนะคะ)
       เขามาเข้าแถวทำอะไรกันคะเนี่ย !! สอบถามพี่พนักงานที่บูธได้ความว่า เขามารอลุงเนลสันกับ เบ๊น ธนชาติ เซ็นหนังสือ NEW YORK 1st TIME กับ THE REAL ALASKA กันค่ะ ถามว่าอยากได้ลายเซ็นไหม ก็อยากค่ะ แต่ 250 คิวก็ไม่ไหว เลยสอย THE REAL ALASKA มา 1 เล่มแล้วขอบายค่ะ
       มาที่บูธมะลิกันต่อค่ะ มาหา 1 ปีกับชีวิตที่ผมอยู่ในอเมริกา จริงๆ เล่มนี้ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อตั้งแต่แรก เพิ่งเพิ่มเข้าไปตอนเห็นเพื่อนซื้อ แล้วเอก็ชอบอ่านหนังสือเล่าเรื่องในต่างแดนด้วย เหมือนได้เปิดโลกตัวเองผ่านเรื่องเล่าของคนอื่น
       ไปต่อกันใน Planary Hall ค่ะ เป้าหมายอยู่ที่บูธของ วินทร์ เลียววาริณ จะไปซื้อ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ค่ะ จริงๆ เล่มนี้เอเคยยืมเพื่อนอ่านแล้ว แต่พอดีอาจารย์ให้อ่านเรื่องสั้นในนี้พอดี เลยซื้อเก็บไว้หน่อยละกัน พนักงานก็ถามว่ารับอีกเล่มไหม จะได้ วันเปลี่ยนชีวิต แถมด้วย เอก็เป็นพวกบ้าของแถม เลยได้ ยาเม็ดสีแดง มาอีกเล่ม
       เดินต่อไปที่บูธ a book ไปตามหา ตรีแล้วไปไหน กับ โปรดอ่านใต้แสงเทียนเพราะผมเขียนใต้แสงดาว เล่มแรกอยากได้เพราะเป็นพวกไม่รู้ตัวเองค่ะ (ฮ่าๆ) ส่วนอีกเล่มเห็นเพื่อนอ่าน เลยอยากอ่านบ้าง (ไม่ชอบยืมของเพื่อนค่ะ ต้องมีเป็นของตัวเอง) พอซื้อมาแล้ว เพื่อนบอกว่า แกต้องไม่ชอบเล่มนี้แน่ๆ มันเพ้อ (อ้าว)
       เดินเล่นในฮอลไปเรื่อยๆ ผ่านบูธ ณ บ้านวรรณกรรม ก็ชั่งใจว่า แวะดี ไม่แวะดี สุดท้ายก็แวะค่ะ และก็ได้ สามคลอง นวนิยายที่ได้รับรางวัลทมยันตีอวอร์ดปีล่าสุดมา เล่มนี้มีพี่ที่รู้จักแนะนำมาค่ะ
       ออกจาก Planary Hall ก็ไปบูธร้านนายอินทร์ที่โซน C2 ค่ะ พอดีเล็ง Love Rosie ไว้ เห็นตัวอย่างหนังแล้วน่ารักดี (ตัวอย่างหนัง http://www.youtube.com/watch?v=UGprZJEoFNQ) แต่เอไม่ใช่สายดูหนัง เลยอ่านหนังสือแทน
       อีกเป้าหมายที่บูธนายอินทร์คือหนังสือแจ่มใสค่ะ ถึงโปรโมชั่นจะไม่โดนเท่าที่บูธแจ่มใส แต่เอก็ไม่อยากไปเบียดที่บูธ เลยซื้อที่นี่แทนค่ะ ได้มา 4 เล่ม
       ระหว่างที่เลือกหนังสือแจ่มใสอยู่ก็เหลือบไปเห็น โปรดติดตามตอนต่อไป วัยว้าวุ่น ติ่งฮอร์โมนส์อย่างเราเลยคว้ามาอีก 1 เล่ม รวมๆแล้วซื้อไปพันกว่าบาท พนักงานถึงกับต้องซ้อนถุงให้เลย (กลัวถุงขาด) ได้เลือกหนังสือ 1 เล่มเป็นของแถมค่ะ เลยเลือก อ่านเป็นข่าว มา
       ยังค่ะ ยังไม่หมด เอได้ เดินสู่อิสรภาพ มาอีกเล่ม จากบูธสุขภาพใจ เล่มนี้อาจารย์เคยพูดถึงในวิชาวรรณกรรมไทยร่วมสมัยค่ะ ฟังอาจารย์พูดแล้วอินค่ะ น้ำตาจะไหล เลยลองซื้อมาอ่านดู
       ทั้งหมดทั้งมวลวันนั้นหมดไปสามพันกว่าบาทค่ะ เล่นเอากระเป๋าเบาเลย แต่เอก็คิดตลอดนะคะว่าเสียเงินซื้อหนังสือ ยังไงหนังสือมันก็ไม่ได้ย่อยสลายหายไปไหน ยังหยิบเอามาอ่านได้เรื่อยๆ แล้วอีกอย่างเอเป็นคนชอบเก็บหนังสืออยู่แล้ว (เก็บจนไม่มีที่จะเก็บ) เลยไม่ค่อยเสียดายเงินเท่าไหร่

       ยังเหลือเวลาอีก 2 วันนะคะ (งานมีถึงวันที่ 26 ตุลาคม) สำหรับใครที่อยากไปเดินหาหนังสือดีๆ อ่าน ลองไปเดินดูค่ะ แต่เสาร์-อาทิตย์นี้คนเยอะแน่นอน ต้องทำใจนิดนึงนะคะ ส่วนใครมีหนังสือที่อยากได้อยู่แล้วก็วางแผนไปเลยค่ะว่าจะเดินตรงไหนบ้าง จะได้ไม่เสียเวลานะคะ ^^