หนังสือที่เหมือนจะเป็นการเล่าเรื่องของการใช้ชีวิตในต่างแดนธรรมดาๆ
แต่หากลองอ่านให้ดีแล้ว คุณจะรู้ว่ามัน”ไม่ธรรมดา”
ตอนแรกที่อ่านก็ไม่ได้คิดจะมาเขียนอะไรเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้หรอกค่ะ
แต่พออ่านไปอ่านมาแล้วรู้สึกเหมือนผู้เขียนต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่างผ่านการเล่าเรื่องชีวิตในเกียวโต
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอคิดเยอะไปรึเปล่า
จดหมายจากเกียวโต เป็นการรวมบทความจากคอลัมน์
จดหมายจากเกียวโต ในมติชนสุดสัปดาห์ เขียนโดย ฮิมิโตะ ณ เกียวโต
หรือที่หลายๆคนรู้จักในชื่อ คำ ผกา เจ้าของคอลัมน์ กระทู้ดอกทอง
ในมติชนสุดสัปดาห์ แค่ชื่อคนเขียนก็บอกแล้วค่ะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ ถึงแม้ว่าจดหมายจากเกียวโตจะเป็นผลงานในวงการนักเขียนชิ้นแรกของเธอก็ตาม
อย่างที่บอกค่ะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะเป็นการเล่าเรื่องของผู้เขียนในขณะที่ไปศึกษาต่อที่เกียวโตแล้ว
ยังได้สอดแทรกการวิพากษ์สังคม โดยเปรียบเทียบสังคมไทยกับสังคมญี่ปุ่นที่ผู้เขียนได้ไปประสบพบเจอ
เปิดเรื่องแรกมาด้วย “ประชาธิปไตยในแฟชั่น” ที่พูดถึงเรื่องการแต่งกายของคนในญี่ปุ่นที่ไม่ได้ยึดติดว่าแต่งแบบไหนถึงเรียกว่าสวย
ทุกคนสามารถดูดีได้ในแบบของตัวเอง ฮิมิโตะได้ทิ้งท้ายบทนี้ไว้ว่า ยิ่งไปกว่าความเท่าเทียมอันเกิดจากการสร้างสรรค์ของระบบทุนนิยม
การตั้งคำถามกับอำนาจหลักในสังคม แม้กระทั่งเรื่องแฟชั่นและความงาม
ย่อมเป็นพื้นฐานของการปลดปล่อยตนเองในระบบอำนาจนิยม
และเป็นความหวังที่จะเห็นความเป็นประชาธิปไตยผลิใบออกมาบ้างมิใช่หรือ
มันทำให้เราต้องมองย้อนกลับมาดูตัวเองว่า ทุกวันนี้เรายึดติดกับกฎเกณฑ์หรือค่านิยมอะไรมากเกินไปหรือเปล่า?
เรื่อง “มีอะไรในสหกรณ์” ฮิมิโตะได้เล่าถึงของสารพัดชนิดที่มีขายในสหกรณ์ของมหาวิทยาลัยที่เธอไปเรียน
ที่มีขายทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนของคอมพิวเตอร์ ตั๋วคอนเสิร์ต ตั๋วชมนิทรรศการ ทัวร์
ตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถบัส ตั๋วรถไฟ หนังสือ ซีดี และอาหาร
ซึ่งแตกต่างจากสหกรณ์ในมหาวิทยาลัยของไทยที่ของที่ขายวนอยู่กับเรื่องเรียนและของชำ
แสดงให้เห็นว่าที่ญี่ปุ่นเห็นนักเรียนเป็นคนที่มีความรู้ มีวุฒิภาวะ
สามารถจัดการกับตัวเองได้ ซึ่งต่างจากในไทยที่มองว่า “เด็ก” ต้องมีการจัดการดูแลและควบคุมความประพฤติ
และมองว่าก็เป็น “เด็ก” จะเอาอะไรมากมาย
สิ่งที่เราเห็นว่างดงามที่สุดคือสิ่งที่เราไม่มีวันเก็บไว้กับตัวเราตลอดไปได้
ช่วงเวลาที่งดงามที่สุดคือช่วงเวลาแห่งการจากลา ขณะเดียวกัน
ความงามก็เป็นความเศร้าอย่างลึกซึ้ง ข้อความนี้มาจากเรื่อง
“ใบไม้ร่วงที่เกียวโต”
ซึ่งก็ไม่ได้แสดงการวิพากษ์สังคมอย่าชัดเจน(หรือเออาจจะเข้าไม่ถึง
ฮ่าๆ) แต่ข้อความนี้ก็ทำให้เอฉุกคิดได้ว่า
เรามักจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราไม่สามารถเก็บไว้กับตัวเราได้
แต่เมื่อเราได้มันมาเป็นเจ้าของแล้ว เราก็มักจะมองข้ามสิ่งนั้น
ข้อความนี้เป็นข้อความที่เอชอบมาถึงขนาดเอาไปตั้งสเตตัสเฟซบุ๊กเลยค่ะ
“ห้องประมูล (auction)” เรื่องนี้ฮิมิโตะเล่าถึงการที่คนญี่ปุ่นจะนิยมนำของที่ล้าสมัยหรือตกรุ่นมาประมูลขายใน
yahoo auction และทุกคนที่เข้ามาใช้บริการห้องประมูลจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นอย่างมากและไม่เคยพบข่าวโกงกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แสดงให้เห็นถึงสำนึกในความมีสิทธิเท่าเทียมกันของคนในชาติ เธอทิ้งท้ายไว้ว่า สังคมไทยก็เป็นสังคมหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความหวาดระแวงในหมู่พลเมืองด้วยกันเอง
โดยการธำรงรักษาไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำ
และปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งสามารถแก่งแย่งเอารัดเอาเปรียบคนอีกกลุ่มหนึ่งได้มานานแสนนาน
โดยไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น ถ้าหน้าไม่เหมือนพ่อกู
กูเบี้ยวได้กูก็เบี้ยว กูโกงได้กูก็โกง จริงไหม ทิ้งท้ายได้แสบมากจริงๆค่ะ
และในเรื่อง “เที่ยวเมืองไทยสไตล์ญี่ปุ่น” ฮิมิโตะแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของเมืองไทยในสายตาคนญี่ปุ่น(ส่วนหนึ่ง)
ที่มองว่าวัดวาอารามที่เราว่าสวยงามนักสวยงามหนามีสีสันสวยงามเหมือนในการ์ตูน
อาหารการกินของเมืองไทยก็ช่างแปลกพิสดาร
ซึ่งคนที่มองแบบนี้ส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวที่หาข้อมูลมาเที่ยวเอง ซึ่งมุมมองแบบนี้แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่การท่องเที่ยวพยายามโปรโมทอย่างสิ้นเชิง
นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ยกมาพอหอมปากหอมคอเท่านั้นค่ะ
ขืนยกมาหมดก็จะเป็นการสปอยล์เนื้อหาในหนังสือเกินไปหน่อย ยังไงลองไปหาอ่านกันดูนะคะ
จะอ่านเอาสนุกก็ได้ ไม่ต้องวิเคราะห์เจาะลึกอะไรจริงจัง
เพราะนี่ก็เป็นแค่มุมมองของเอที่มีต่อหนังสือเล่มนี้เท่านั้นค่ะ คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกันก็ได้
สุดท้ายอยากจะฝากไว้ว่า ของบางอย่างที่มองเผินๆอาจจะดูธรรมดา
หากเราพิจารณาให้ดี เราอาจจะพบว่า มันไม่ธรรมดาก็ได้นะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น